วันที่ 13 ธ.ค. 2565 เวลา 12.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง ที่กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงในช่วงอาหารกลางวัน ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน พร้อมนายฝั่ม มิญ จิ๊ญ (H.E. Mr. Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ (Mr. Ferdinand Romualdez Marcos Jr.) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับผู้บริหารของสหภาพยุโรป และผู้บริหารจากภาคเอกชนชั้นนำของยุโรป เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการส่งเสริมการค้า การลงทุน ระหว่างภูมิภาคอาเซียน-ยุโรป และฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยเดินหน้าสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งไทยในฐานะประธานเอเปคปีนี้ได้ผลักดันเรื่องนี้จนบรรลุ “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” จึงยินดีที่สหภาพยุโรปมีข้อริเริ่ม Global Gateway ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสหภาพยุโรปมีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่จะช่วยสนับสนุนอาเซียนในเรื่องการผลิตและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้
นายกรัฐมนตรีเสนอความร่วมมือหลัก 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน โดยอาศัยการเงินสีเขียวของสหภาพยุโรป การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่อาเซียนมีเป้าหมายสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เป็นร้อยละ 23 ของสัดส่วนพลังงานในอาเซียน ภายในปี 2568 ซึ่งหวังว่า สหภาพยุโรปจะอํานวยความสะดวกและลดภาษีสําหรับการนําเข้าและส่งออกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป รวมถึงพิจารณาให้สิทธิ ช่องทางพิเศษสําหรับสินค้าสีเขียวหรือ GreenLane ด้วย และการยกระดับมาตรฐานของอาเซียนไปสู่การค้าที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดทำ FTA ที่มีคุณภาพสูงและครอบคลุม และเป็นแนวทางสําหรับการเจรจา FTA อาเซียน-EU ในอนาคตต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ร่วมกับเขตเศรษฐกิจในเอเชียที่พึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LNG สูง พิจารณาความร่วมมือในการจัดทำ LNG ในตลาดโลก รวมทั้งบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการนำเข้า LNG เช่น ท่าเรือและคลังเก็บ LNG เพื่อช่วยลดความผันผวนด้านราคาและเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของทั้งสองภูมิภาค
ที่มาข้อมูล : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG221213211709630