นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานเสวนา “Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” จัดโดยคณะกรรมการกฎหมายภาษี โดยมีผู้แทนจาก 6 พรรคการเมืองเข้าร่วม ซึ่งได้ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์กันอย่างหลากหลาย
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย กล่าวว่า การปฏิรูปภาษี พรรคก้าวไกล ยึดโยง 4 เรื่อง เพิ่มรายได้ ประสิทธิภาพของต้นทุน พอมีประสิทธิภาพของต้นทุนที่ดี การจัดเก็บภาษีก็ลดลงได้และเป็นธรรมง่ายต่อการจัดเก็บ รวมทั้งเพิ่มนโยบายให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน ลดการผลิตคาร์บอน ถ้าลดได้ ก็จะให้นำมาหักค่าใช้จ่าย คชจ.ลดภาษีได้ ประชากร ประชาชนที่ลดถุงพลาสติก สามารถลดหย่อนภาษีได้ สำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ควรเก็บจากการบริการ แต่ควรเก็บจากกำไรที่ได้มาจากตลาดหลักทรัพย์ ส่วนการเก็บภาษีที่ดิน จะเห็นได้ว่ามีการหลบเลี่ยง เช่น ปลูกกล้วย มะนาว ตรงนี้จะผลักดันให้ท้องถิ่นเข้ามาจัดการ
นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า หลักคิดของพรรคชาติพัฒนากล้าจะเน้นให้มีการแข่งขัน ลดบทบาทของทุนผูกขาด เปลี่ยนทุนผูกขาดเป็นทุนเผื่อแผ่ และเราจะไม่เน้นประชานิยมแต่จะเน้นโอกาสนิยม โดยจะเน้นโอกาสให้กับคนทำมำธุรกิจหรือประชาชนตัวเล็กๆ ให้ลืมตาอ้าปากได้ เหตุที่เราไม่เน้นประชานิยมเพราะโครงการแจกเงินจะตามมาด้วยการขึ้นภาษีเสมอ ส่วนเรื่องตลาดหลักทรัพย์เรามีแนวคิดแข่งขันเสรี จึงต้องไม่มีการเก็บภาษีเกี่ยวกับเรื่องนี้
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ปัญหาหลักของเรื่องภาษีในประเทศไทยคือ ความไม่ทันสมัยในการจัดเก็บและบริหารจัดการโครงสร้างภาษีเพราะปัจจุบันประเทศไทย มีกรมที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอยู่ 3 กรมคือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต แต่ไม่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยจะต้องมีระบบ Data one เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ แบ่งปันข้อมูลกันจะช่วยป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้ดีที่สุด ส่วนเรื่องของการส่งเสริม ESG และ BCG ผ่านมาตรการทางภาษี ต้องมีการลดภาษีให้กับผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าที่เป็น BCG และ ESG ก็สามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ เพื่อส่งเสริมให้คนใช้สินค้าที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องมีมาตรการภาษีที่จะช่วยเหลือ SMEs โดยเสนอให้มีการงดเก็บภาษีสามปี
นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้เศรษฐกิจโตกว่านี้ โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล อยากจะเสนอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของภูมิภาค ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาประชากรในวัยแรงงานลดลง เด็กเกิดใหม่ลดลง ลดภาษีเงินได้ที่จัดเก็บได้ก็จะลดลง จึงต้องให้คนมีลูกได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวาระสำคัญของประเทศคือ การขาดแรงงานและการเข้าสู่สังคมสูงวัย ทั้งยังให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดเก็บภาษีจากคนรวยในต่างจังหวัดที่เยอะขึ้น
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์กับกรมศุลกากร ที่ใช้เวลาตีความกฎหมายที่ยาวนาน ทำให้มีการเปรียบเทียบว่าทำไมการนำเข้าง่ายกว่าการส่งออก ตรงนี้ต้องไม่เกิดขึ้นเพราะว่าการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกต้องได้รับการดูแล แต่บ่อยครั้งไม่ได้เกิดจากหน่วยงานกรมศุลกากร อาจจะเป็นหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ดูแลสารพิษเกี่ยวข้องกับการนำเข้า ดังนั้นหน่วยงานต่างๆ ต้องร่วมมือกับหน่วยงานส่วนกลางก่อน ส่วนสรรพสามิตร เกี่ยวข้องกับสุขภาพเกี่ยวข้องกับศีลธรรมเรื่องของความฟุ่มเฟือยแต่ถึงเวลาตีความไปต่างๆ นานา ดังนั้นกรมสรรพสามิตรต้องทำภายใต้ตามนโยบายที่เหมาะสม ทำงานร่วมกันทั้งรัฐและเอกชน
ขณะที่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายภาษีต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มียุทธศาสตร์ กรมต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน มีนโยบายร่วมกัน กฎหมายต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเข้ากับยุคสมัย และต้องกำจัดปัญหาธุรกิจคอร์รัปชันเพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเป็นการจูงใจทางอ้อมให้ประชาชนเสียภาษี ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเกือบ 67 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีรายได้เพียง 10 ล้านคน
ที่มาข้อมูล : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG230502210344473