เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ได้หารือร่วมกับนาง Julie Kitcher ประธานบริหารฝ่ายความยั่งยืนและการสื่อสารองค์กร บริษัท Airbus ณ ห้องรับรอง โรมแรงเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐไทยกับภาคเอกชนระดับโลกในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะผ่านการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG Economy Model) และการปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ จากสหภาพยุโรป อาทิ กฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) และกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation: EUDR) เป็นต้น
บริษัท Airbus มีจุดยืนที่เน้นการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ภายใต้กรอบการดำเนินงานที่ประกอบด้วยเสาหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การเคารพสิทธิมนุษยชน ธรรมาภิบาลในภาคธุรกิจ และความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบริษัทมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 63 ภายในปี พ.ศ. 2573 เทียบกับระดับการปล่อยในปีฐาน พ.ศ. 2558
ประเด็น SAF ถือเป็นหัวใจสำคัญของการลดการปล่อยคาร์บอนในระยะสั้น โดย Airbus มีนโยบายสนับสนุนการใช้ทั้งเชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio-based SAF) และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Synthetic SAF) อาทิ เทคโนโลยี Alcohol-to-Jet และ Power-to-Liquid เพื่อลดข้อจำกัดด้านการผลิต SAF จากแหล่งชีวมวลธรรมชาติเพียงอย่างเดียว โดย Airbus เล็งเห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิต SAF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถผลิตได้ถึง 5 ล้านตันต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีโอกาสพัฒนาเพื่อการส่งออก โดยประเทศไทยมีวัตถุดิบชีวภาพหลากหลาย เช่น กากน้ำตาล ฟางข้าว แกลบ และน้ำมันพืชใช้แล้ว พร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และแรงจูงใจภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุน
ผู้แทนการค้าไทยได้นำเสนอศักยภาพและบทบาทของประเทศไทยในการพัฒนา SAF อย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำบทบาทของผู้แทนการค้าไทยในการประสานและขับเคลื่อนนโยบายการค้าการลงทุนของประเทศ และช่วยวางยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น การส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยสามารถปรับตัวรับกฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD), แนวทางการตรวจสอบสถานะสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) และ กฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation: EUDR) เป็นต้น
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงการบินยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยฝ่ายไทยมีความพร้อมในการจัดตั้งเวทีหารือร่วมระหว่างภาครัฐ บริษัท Airbus ผู้ผลิตเชื้อเพลิงการบิน สายการบิน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันออกแบบกรอบนโยบายและรูปแบบทางธุรกิจที่สามารถนำไปสู่การขยายผลในทางปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
Airbus เน้นย้ำว่า การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไปสู่เป้าหมาย Net Zero มิอาจบรรลุได้โดยลำพัง หากปราศจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในระดับภูมิภาคในฐานะประธานคณะทำงานด้านการขนส่งทางอากาศของอาเซียน และเป็นหนึ่งในประเทศภาคีหลักของโครงการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ที่มีเป้าหมายลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนในภาคการบินระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ
สุดท้ายนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในทุกมิติในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหากได้รับการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศไทยจะสามารถยกระดับบทบาทจาก “ผู้ผลิตเชื้อเพลิง” ไปสู่การเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดของโลก” อย่างแท้จริง โดยบริษัท Airbus แสดงความยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทย ภาคอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อน SAF ให้เป็นรากฐานสำคัญของอนาคตการบินที่ยั่งยืนในระดับโลก
ที่มาภาพ/ข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/95607