นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจาก กล่าวว่า สหภาพยุโรปกำหนดให้เพิ่มสัดส่วนการผสมนํ้ามันเชื้อเพลิง SAF ประมาณ1%กับนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet Fuel) สำหรับสายการบินที่จะลงจอดในสนามบินของกลุ่มประเทศ EU มีผลบังคับในวันที่ 1 ม.ค. 2568
ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะมีการบังคับให้ผสมนํ้ามัน SAF กับสายการบินในต้นปี 2569 ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมการบิน ปัจจุบัน โครงการผลิต SAF ของกลุ่มบางจาก ที่โรงกลั่นนํ้ามันบางจากพระโขนงอยู่ระหว่างก่อสร้างตามแผนงานเสร็จไปประมาณกว่า 70% และจะเริ่มผลิตในเดือนมีนาคม 2568 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน และคาดว่าจุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี
กลุ่มบางจากได้มีการทำสัญญาซื้อนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้วจากร้านอาหาร ร้านค้าชุมชนและรับซื้อจากประชาชนผ่านสถานีบริการนํ้ามันบางจาก ล่าสุดบางจากได้ทำสัญญากับ CPF ซึ่งเป็นครัวไทยรายใหญ่ระดับโลก ที่เข้าร่วมโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” นอกจากจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG แล้ว ยังเป็นการสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมด้าน ESG ซึ่งถือเป็นแกนหลักของความยั่งยืน
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า โครงการ “ไม่ทอดซํ้า” และ “ทอดไม่ทิ้ง” เป็นโครงการที่เริ่มตั้งแต่ปี 2565 ผู้ริเริ่มโครงการ คือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่มีความตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในการดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้คนไทย
ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคราชการ เอกชน และผู้ประกอบการ ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการและส่งต่อนํ้ามันปรุงอาหารเพื่อผลิต SAF มากกว่า 800 จุดทั่วประเทศ ซึ่งการแปรรูปนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้วเป็น SAF จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงการบินแบบดั้งเดิม ช่วยตอบโจทย์การแก้ไขวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ
แหล่งที่มาข้อมูล / อ่านทั้งหมดได้ที่ : https://www.thansettakij.com/climatecenter/net-zero/611010