Search
Close this search box.

แปลงใหญ่ลำไยหนองตอง จ.เชียงใหม่ ต้นแบบไม้ผลครบวงจร กระจายการผลิตลดการกระจุกตัว จำหน่ายลำไยคุณภาพได้ราคาดี

share to:

Facebook
Twitter

นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า พื้นที่ตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเกษตรมีการปลูกข้าวเป็นหลัก แต่เกิดสภาวะน้ำท่วมจึงปรับเปลี่ยนมาปลูกลำไย กระทั่งในปี 2561 จึงเริ่มรวมกลุ่มในรูปแบบของแปลงใหญ่ ปัจจุบันมีสมาชิก 154 ราย ผลผลิตเฉลี่ย 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ ต้นทุน 11 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตรวม 1,000 ตันต่อปี มีรายได้มากกว่า 120 ล้านบาท นอกจากนี้ทางกลุ่มมีการจัดกิจกรรมผ่านหลักสูตรร่วมกันเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้กับสมาชิก เช่น การทำปุ๋ยหมัก การทำชีวภัณฑ์ การตัดแต่งกิ่ง/ตัดแต่งช่อผล การเลี้ยงผึ้งช่วยผสมเกสร ระบบการให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการทำการเกษตรให้ได้มาตรฐาน GAP การตลาดออนไลน์ การสร้างรายได้เสริมในสวนลำไย (เลี้ยงปลา) และการบริหารจัดการกลุ่ม เป็นต้น โดยสมาชิกในกลุ่มเน้นการผลิตและใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ผลิตเองร่วมกับปุ๋ยเคมี ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ แปลงใหญ่ลำไยหนองตอง จังหวัดเชียงใหม่ มีการปลูกลำไยพันธุ์อีดอเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากทำลำไยในฤดู และช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม เกษตรกรจะราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเร่งเพื่อช่วยเพิ่มอัตราการออกดอกลำไย ให้สม่ำเสมอ จากนั้นต้นลำไยจะออกดอกช่วงเดือนมกราคม ซึ่งกลุ่มเน้นการกระจายการผลิตลำไยให้ออกในหลายช่วงเพื่อลดการกระจุกตัวของผลผลิต นอกจากนี้ยังมีการปลูกลำไยพันธุ์สีชมพู ซึ่งเป็นลำไยพันธุ์พื้นเมือง มีเฉพาะที่ตำบลหนองตอง ประมาณ 600 ต้น ซึ่งผลผลิตมีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้มีราคาค่อนข้างสูง ประมาณกิโลกรัมละ 100 บาท ด้านการบริหารจัดการภายในสวนมีคลองเชื่อมด้วยระบบท่อระหว่างสระเก็บน้ำในสวนกับแหล่งน้ำชลประทาน แล้วต่อเข้าสปริงเกอร์ ซึ่งทางกลุ่มใช้สปริงเกอร์แบบ 100%  มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ โดยสมาชิกมีการเรียนรู้เกษตรแม่นยำผ่านการอบรมจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมัครใช้โดรนทางการเกษตรเพื่อทดลองในพื้นที่ 2 ไร่ การใช้ปุ๋ยสั่งตัดตามค่าวิเคราะห์ดิน ด้วยผสมปุ๋ยใช้เอง และมีหมอดินในพื้นที่ช่วยให้คำปรึกษา มีสมาชิก YSF แปรรูปลำไย Freeze แปรรูปเป็นน้ำลำไย และตรวจดูแปลงเป็นประจำ ใช้สารชีวภัณฑ์และปุ๋ยเกล็ดตามความจำเป็น

แหล่งที่มา/อ่านต่อได้ที่: https://doaenews.doae.go.th/archives/23414