วันนี้ (10 เมษายน 2566) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เป็นประธานเปิดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ภายใต้โครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน จัดโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.)
โดยมี นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ ร่วมงาน ณ ห้องประชุมศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ให้มีความแข็งแรงอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด และได้จัดสรรงบประมาณเข้าช่วยเหลือชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ดำเนินโครงการต่างๆ ผ่านสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ตลอดระยะเวลา 21 ปี ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ที่มีอยู่ทุกหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ จำนวน 79,610 แห่ง มีสมาชิกทั่วประเทศ 13 ล้านคน
ซึ่งสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ถือเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ เฉกเช่นพี่น้องประชาชนภาคใต้ ในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา บางปีก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำยางตกต่ำ และพ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อน้ำยางอีก ส่งผลให้พี่น้องชาวใต้ได้รับความเดือนร้อนอย่างต่อเนื่อง แต่สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ “วังไทร” หมู่ที่ 11 ตำบลเขาโร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่หยุดนิ่ง ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาหาความรู้ ตามแนวทางนโยบายของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) จัดทำโครงการ โรงงานยางพาราอัดแท่ง STR 5L ถือเป็นโครงการต้นแบบ ที่ใช้เงินลงทุนจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง นำมาเพิ่มความเข้มแข็งเสริมสภาพคล่องของเศรษฐกิจในชุมชน ทำให้ปัจจุบันนี้มีเงินในชุมชนหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาท และเป็นชุมชนต้นแบบที่พัฒนาต่อยอด ยกระดับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ไปสู่การเป็นแหล่งเงินทุนที่มีคุณภาพมาตรฐาน และประสบความสำเร็จในด้านการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวใต้ได้เป็นอย่างดี คือการทำปศุสัตว์ เช่น การเลี้ยงโค ซึ่งปัจจุบันความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ มีเพิ่มสูงขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเนื้อโค โดยมีสัดส่วนตลาดบน ร้อยละ 20 ที่เหลืออีกร้อยละ 80 เป็นตลาดกลางและตลาดล่าง ด้วยเหตุนี้ทำให้ตลาดเนื้อโคยังมีช่องว่างที่จะสามารถสร้างรายได้ให้ประชาชนได้อีกมาก ที่สำคัญ โคเลี้ยงง่ายเพราะกินหญ้า ทนทานต่อโรค โคสามารถสร้างรายได้เป็นเท่าทวีคูณ ภายใน 1 ปี โคออกลูก สามารถทำเงินปลดหนี้ได้ ถ้าเทียบกับอาชีพเกษตรกรอื่นๆ ที่ต้องใช้ปัจจัยหลายประการในการประกอบอาชีพ แต่การเลี้ยงโค สามารถทำให้พี่น้องชาวใต้คืนทุนเร็ว ทำให้สามารถปลดหนี้และมีเงินหมุนเวียนในครอบครัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
สำหรับการจัดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ครั้งนี้ เป็นการจัดงานครั้งที่ 3 เพื่อฟื้นฟูและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ภายหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ของกองทุนหมู่บ้านฯ ที่ประสบความสำเร็จ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนและส่งต่อแนวคิดสู่กองทุนหมู่บ้านฯ ในพื้นที่ทั่วประเทศ ตลอดจนส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ เพื่อพัฒนาทักษะเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้แก่พี่น้องกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในบริบทของแต่ละพื้นที่
มีกลุ่มเป้าหมายหลัก จากสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ จาก 7 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ระนอง และชุมพร มีกิจกรรมน่าสนใจ เช่น เสวนาโดยกองทุนหมู่บ้านต้นแบบ “ทำแล้ว ทำง่าย ทำได้…ไม่ยาก” จากโรงงานยางพาราอัดแท่ง STR 5L และแปรรูปผลิตภัณฑ์ กองทุนหมู่บ้านวังไทร หมู่ที่ 11 ตำบลเขาโร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และการเพิ่มทักษะเรื่อง “โครงการโคล้านครอบครัว” จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโครายย่อย นิทรรศการและบูธกองทุนหมู่บ้านฯ รวมถึงการเจรจาธุรกิจระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และเอกชน อีกด้วย
แหล่งที่มาข้อมูล : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG230410200548802