BCG Economy คืออะไร?
BCG ย่อมาจาก Bio Economy, Circular Economy และ Green Economy ซึ่งเป็น 3 แนวคิดที่ผสมผสานกันเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ “ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
1. Bio Economy (เศรษฐกิจชีวภาพ)
- การใช้ทรัพยากรชีวภาพ (พืช สัตว์ จุลินทรีย์) อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรผ่านนวัตกรรม เช่น
✅ การสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร
✅ การผลิตพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล, ไบโอแก๊ส)
✅ การพัฒนาอาหารฟังก์ชันนัล (Functional Food)
ตัวอย่างโครงการ:
- การปลูกมันสำปะหลังพันธุ์พิเศษเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic)
- การใช้จุลินทรีย์ปรับปรุงดินแทนปุ๋ยเคมี
2. Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน)
- ลดการสร้างขยะ โดยนำของเสียกลับมาใช้ใหม่
- หลักการ “Zero Waste” ในกระบวนการผลิต
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
♻️ เกษตรกรรม:
- ใช้เศษพืชเหลือทิ้งทำปุ๋ยหมัก
- น้ำเสียจากฟาร์มสุกรผลิตก๊าซชีวภาพ
♻️ อุตสาหกรรม:
- Upcycling วัสดุเหลือใช้ เช่น กากกาแฟทำเป็นถ่านดูดซับกลิ่น
- ระบบรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เกษตร
3. Green Economy (เศรษฐกิจสีเขียว)
- พัฒนาธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
- ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
ตัวอย่าง:
🌱 เกษตรอินทรีย์ (Organic Farming)
🌱 การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-Tourism)
🌱 พลังงานสะอาด (โซลาร์เซลล์ในฟาร์ม)
BCG กับภาคการเกษตรของไทย
โอกาสของเกษตรกรภายใต้โมเดล BCG
1. สร้างรายได้จากของเหลือทิ้ง
- เช่น แกลบอ้อย → นำไปผลิตไฟฟ้า
- กากสับปะรด → ทำเป็นอาหารสัตว์
2. ลดต้นทุนการผลิต
- ใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากวัสดุในท้องถิ่น
- ระบบน้ำหมุนเวียนในฟาร์ม
3. เข้าถึงตลาด Premium
- สินค้าเกษตรอินทรีย์ได้รับราคาสูง
- ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรมีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างความสำเร็จ
✅ โครงการ “ชุมชน BCG” ในหลายจังหวัด เช่น
- น่าน: ปลูกกาแฟอราบิก้าคุณภาพสูงแบบยั่งยืน
- สระแก้ว: ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในฟาร์มกุ้ง
✅ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพร เช่น ทุเรียนเทศสกัดสารต้านมะเร็ง