วาระแห่งความยั่งยืนที่ไม่มีวันย้อนกลับ
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) โดยเฉพาะการประชุมล่าสุด ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ประเทศไทยในฐานะภาคี ได้กำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยานคือการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่ภาระด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็น วาระทางเศรษฐกิจ ที่จะกำหนดทิศทางการค้า การลงทุน และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะคว้าโอกาส ในขณะที่ธุรกิจที่ละเลยอาจเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพิ่มเติม: 1.5°C ในบริบทของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) คือ เป้าหมายสูงสุดในการควบคุมอุณหภูมิโลก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความหมายของ1.5°C
1.5°C คือ ขีดจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก ที่นานาชาติตกลงร่วมกันว่าจะต้องควบคุมไว้ไม่ให้เกิน เมื่อเทียบกับ ระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (Pre-industrial levels)
- ระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม
หมายถึง อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1850 – 1900 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมากจะเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจนการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ เกินกว่า1.5°C จากระดับนี้ ถูกพิจารณาโดยนักวิทยาศาสตร์ว่าอาจนำไปสู่ผลกระทบที่แก้ไขไม่ได้ (irreversible) และรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อระบบนิเวศ สภาพอากาศ และมนุษย์ - ความสำคัญภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ข้อตกลงปารีส (ปี 2015) ซึ่งเป็นกรอบการทำงานหลักของ COP ได้กำหนดเป้าหมายไว้ดังนี้:เป้าหมายหลัก (Well Below): จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ที่ ต่ำกว่า 2.0°C$ เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมให้มากที่สุดเป้าหมายสูงสุด (Aspiration): มุ่งมั่นที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่1.5°C
การประชุม COP ครั้งหลัง ๆ เน้นย้ำว่า1.5°C คือขีดจำกัดที่ปลอดภัยกว่า และจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วที่สุด เพื่อคงโอกาสในการรักษาอุณหภูมิโลกไว้ที่ขีดจำกัดนี้
ผลกระทบหากเกิน1.5°C
รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ผลกระทบระหว่างการเพิ่มขึ้น1.5°C กับ 2.0°C มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
| ผลกระทบ | หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.5∘C | หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2.0∘C |
|---|---|---|
| แนวปะการัง | สูญเสีย 70% ถึง 90% | สูญเสีย 99% เกือบทั้งหมด |
| คลื่นความร้อน | จะเกิดบ่อยขึ้น แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า | จะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงมากเป็นพิเศษ |
| ระดับน้ำทะเล | เพิ่มสูงขึ้นแต่มีโอกาสชะลอตัวได้มากกว่า | อัตราการเพิ่มสูงขึ้นเร็วขึ้นและมีโอกาสที่จะสูญเสียแผ่นน้ำแข็งถาวรมากขึ้น |
การที่ประเทศไทยต้องมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 ก็เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้โลกสามารถรักษาขีดจำกัด1.5°C นี้ไว้ได้
1. ความท้าทายที่สำคัญ: กลไกคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM)
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่ธุรกิจไทยเผชิญหน้าหลังการประชุม COP คือการบังคับใช้กลไกทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM) ของสหภาพยุโรป
- CBAM คืออะไร?
CBAM คือมาตรการที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าบางประเภทเข้าสู่สหภาพยุโรปต้องซื้อใบรับรอง CBAM เพื่อจ่าย “ค่าคาร์บอน” ที่ฝังอยู่ในสินค้านั้น ๆ (Embodied Emissions) โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหย่อนยานกว่า (Carbon Leakage) - ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย
ในระยะแรก CBAM จะเน้นที่อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้นสูง ได้แก่ เหล็กและอะลูมิเนียม, ปูนซีเมนต์, ปุ๋ย, ไฟฟ้า, และไฮโดรเจน อุตสาหกรรมไทยที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยัง EU จะต้องวัดและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์อย่างแม่นยำและโปร่งใส
เผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หากกระบวนการผลิตยังคงปล่อยคาร์บอนในระดับสูงอ้างอิง: คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ระบุขอบเขตและระยะเวลาการบังคับใช้ CBAM อย่างชัดเจน ซึ่งเริ่มระยะเปลี่ยนผ่านในปี 2023
2. โอกาสทองของธุรกิจไทย: พลังงานสะอาดและการลงทุนสีเขียว
การมุ่งสู่ Net Zero เปิดโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจที่เน้นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Investment)
- การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition)
หัวใจของการบรรลุ Net Zero คือการเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น พลังงานสะอาด ประเทศไทยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดโอกาสในSolar Rooftop และ Floating Solar: การลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งบนหลังคาโรงงานและบนผิวน้ำ เพื่อลดต้นทุนพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรงGreen Hydrogen: แม้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนักและการขนส่ง
ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs): การเร่งส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เพียงแต่ลดมลพิษในเมือง แต่ยังสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่สำหรับแบตเตอรี่และชิ้นส่วน EV ในประเทศ - การเงินสีเขียว (Green Finance)
สถาบันการเงินทั่วโลกและในไทยกำลังหันมาให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อสีเขียว (Green Loans) และการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Green Bonds/Sustainability-Linked Bonds) แก่โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกลง: ธุรกิจที่มีแผนการลดคาร์บอนที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) ที่ดี จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและอาจมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าการรายงาน ESG: การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานสากลกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย แต่เพื่อดึงดูดนักลงทุนสถาบัน
3. กลยุทธ์การปรับตัวของภาคธุรกิจ
เพื่อให้รอดพ้นจากความท้าทายและคว้าโอกาสในการเปลี่ยนผ่านนี้ ธุรกิจไทยควรใช้กลยุทธ์ที่บูรณาการ BCG Model (Bio–Circular–Green Economy) เข้ากับการดำเนินงาน:
| กลยุทธ์ | แนวทางการปฏิบัติ |
|---|---|
| การวัดและการตรวจสอบ | * กำหนดขอบเขตและวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา (Scope 1, 2, 3) ตามมาตรฐานสากล * จัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint) |
| การลดการปล่อยคาร์บอน | * ติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน * ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) * เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ |
| ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น | * ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) * นำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้เพื่อลดของเสียและการใช้ทรัพยากร |
| การสร้างนวัตกรรมสีเขียว | * ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด |
สรุปและข้อเสนอแนะ
เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ของประเทศไทยเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ การประชุม COP28 ได้ตอกย้ำว่าโลกจะไม่รอ ธุรกิจไทยที่ยังคงดำเนินงานในรูปแบบเดิมจะเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการคาร์บอนข้ามพรมแดน
โอกาส อยู่ที่การลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, การเข้าถึงตลาดการเงินสีเขียว, และการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมที่ยั่งยืน
ข้อเสนอแนะหลัก สำหรับผู้ประกอบการคือ: อย่ารอให้กฎหมายบังคับ เริ่มต้นจากการ วัดและรายงาน (Measurement & Reporting) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กรและผลิตภัณฑ์ของคุณตั้งแต่วันนี้ นี่คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเข้าสู่โลกการค้าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยคาร์บอนเป็นศูนย์
“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ก้าวทันโลก พร้อมทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน”
ที่มาภาพ/ข้อมูล : https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/452330


