นายพิชัย อาวรรณา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ เปิดเผยว่า สับปะรดท่าอุเทนขึ้นชื่อว่าเป็นสับปะรดที่หวานที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยต้นพันธุ์ที่นำมาครั้งแรกได้มาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสายพันธุ์ ปัตตาเวียสายน้ำผึ้งพอได้นำมาปลูกในพื้นที่อำเภอท่าอุเทน ประกอบดินที่อุดมสมบูรณ์ สภาพอากาศและปริมาณฝนที่เหมาะสม รวมถึงการเอาใจใส่ของเกษตรกรในพื้นที่ ส่งผลให้จากที่เปรี้ยวกลายมาเป็นรสชาติที่หวานฉ่ำ ไม่กัดลิ้น เป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งสับปะรดท่าอุเทน เป็นพืชที่มาช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่มีความมั่นคง โดยได้รับเครื่องหมายการันตีคุณภาพ จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินปัญญา กระทรวงพาณิชย์
ด้าน น.ส.วัลนิภา วังอุปัดชา รองประธานกลุ่มแปลงใหญ่ผู้ปลูกสับปะรด ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางด้านกลุ่มของผู้ปลูกสับปะรด GI บ้านโนนตาล นอกจากขายผลสด ซึ่งเป็นตัวหลักของกลุ่มแล้ว ที่มาของรายได้ก็ยังมีการแปรรูป เช่น การทำสบู่ เกลือสปาขัดผิว แล้วก็อีกหลายอย่าง ซึ่งในตอนนี้การทำสบู่มีการวางจำหน่ายอยู่ที่ร้านของฝากนครพนม ทั้งมีการต่อยอดสับปะรดลูกที่ตกไซส์ ไม่ได้มาตรฐาน คือการนำมาทำสับปะรดอบแห้ง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสับปะรดอบแห้ง แกน โดยจะมีทั้งสับปะรดดังเดิมและรสบ๊วย อีกทั้งแต่ก่อนที่ทางกลุ่มปลูกสับปะรดเสร็จมีการทำลายใบโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทุกวันนี้มีการแปรรูปโดยใช้นวัตกรรมทำเป็นกระดาษสา ซึ่งในอนาคตในผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะมีการพัฒนาสู่ป้ายแท็กห้อยสินค้าภายในกลุ่ม
ขณะที่ น.ส.กัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม กล่าวว่า จากการที่มีการนำระบบส่งเสริมการเกษตรเข้ามาขับเคลื่อนในพื้นที่ ทำให้กลุ่มเกษตรกรเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประสบการณ์ร่วมกัน มีการวางแผนพัฒนาและยกระดับการผลิตและการแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการผลิตสับปะรด ถือเป็นต้นแบบที่มีการบริหารจัดการตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการแก้ไขความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจ BCG หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เป็นเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ ผสมผสานการพัฒนา 3 ด้านหลัก คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศในด้านสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และให้ไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ที่มาภาพ/ข้อมูล : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG231011095307474