การเสริมสร้างความเข้มแข็งของ เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย ไม่อาจพึ่งพาเพียงเศรษฐกิจขนาดใหญ่หรืออุตสาหกรรมสมัยใหม่เพียงด้านเดียว แต่ต้องสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตและกระจาย (Inclusive Growth) และใช้กลไกการเชื่อมโยงพลังของ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ากับ ภูมิปัญญาและทุนทางสังคมของชุมชน เพื่อให้คนในท้องถิ่นมีโอกาสเท่าเทียมและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
จากแนวคิดที่หนักแน่นชัดเจนข้างต้นนี้เองที่นำสู่การปรับเอา เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) มาขับเคลื่อนงานการพัฒนา เศรษฐกิจฐานราก ในวันนี้ เพราะในบริบทของท้องถิ่น เทคโนโลยีที่ซับซ้อนหรือมีราคาสูงอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเสมอไป แต่ควรต้องเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ เหมาะกับทรัพยากร และตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริงมากกว่า
ในวันนี้ เทคโนโลยีเหล่านี้ถูกส่งต่อผ่านกระบวนการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย ผ่านนักวิจัย และเชื่อมโยงกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ จนกลายเป็นพลังสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถของ เศรษฐกิจฐานราก ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง


เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนถึงพลังของ เทคโนโลยีที่เหมาะสม ที่ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนได้จริง หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จึงวางเป้าหมายขับเคลื่อนนวัตกรรมพร้อมใช้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาพื้นที่ (Appropriate technology) บโดยในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ในภาคเหนือ ผ่านการจัดกิจกรรม Appropriate Technology Matching Day เพื่อเชื่อมโยงการประยุกต์ใช้และขยายผล Appropriate Technology จากผลงานของเครือข่ายมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือ กับโจทย์และความต้องการของกลุ่มคนจนฐานราก เกษตรกรรายย่อย กลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการในพื้นที่ (Demand-Supply Matching) ที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค
โดยภายในงาน ได้มีการนำเสนอ Showcase เทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งเป็นผลงานที่มาจากเครือข่ายมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของพื้นที่และสร้างการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนจัดการแก้ปัญหาคนจนลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี พร้อมทั้งยกระดับเศรษฐกิจฐานรากทั้งภาคชนบทและเมืองให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท.
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. ได้กล่าวบรรยายพิเศษ หัวข้อ “การผลักดันเทคโนโลยีที่เหมาะสม ในการเสริมสร้าง เศรษฐกิจฐานราก” ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
“ในอีก 2 ข้างหน้า ประเทศไทยจะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้น จาก 8 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการทำงานเพื่อขจัดความยากจน ของ บพท. ในระดับพื้นที่ พบคนยากจนที่ไม่มีทักษะในการประกอบอาชีพให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมออีกจำนวน 9 แสนกว่าคน”
“และหนึ่งในทางออกของการแก้ปัญหานี้ คือ การใช้จุดเด่นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่ เช่น ผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าพื้นถิ่นที่หลากหลาย ร่วมกับการ Reskill Upskill ชาวบ้านในแต่ละชุมชน ให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ จากฐานทุนทรัพยากรของตนเอง ซึ่งจะทำให้เกิด Local Business, Local Content และ Local Product ที่นำไปสู่การจ้างงานในระดับพื้นที่ ช่วยแก้ปัญหาการว่างงานได้”


“ดังนั้น สิ่งที่ บพท. ให้ความสำคัญและจะดำเนินการอย่างจริงจังอยู่ในขณะนี้คือ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ มาสร้างเป็น Knowledge Stock สร้างเป็นชุดความรู้และกระบวนการเรียนรู้ รวมถึงการจัดทำเวที Matching ตัวนวัตกรรมร่วมกับผู้ใช้ในแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาคต่างๆ และนำไปสู่การจับคู่ระหว่างเทคโนโลยีกับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ และพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อให้เทคโนโลยีเหล่านี้ถูกนำไปใช้งาน ก่อให้เกิดเป็นธุรกิจครัวเรือน ธุรกิจชุมชน ในพื้นที่ของตนเอง หรือที่เรียกว่า “นวัตกร” ซึ่งเป็นผู้ที่จะ รับ-ปรับ-ใช้เทคโนโลยี รวมถึงนำไปขยายผลกับกลุ่มอื่นๆ ต่อไป”

ผศ.ดร.จักรพันธ์ ชัยทัศน์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยเชียงราย
ดังที่กล่าวมาข้างต้น นอกเหนือจากการจัดงาน Appropriate Technology Matching Day เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเชื่อมโยงเทคโนโลยีที่เหมาะสมและนวัตกรรมพร้อมใช้กับกลุ่มคนจนฐานราก เกษตรกรรายย่อย กลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว ภายในงานยังมี Show Case ตัวอย่างความสําเร็จของการขับเคลื่อน Appropriate Technology สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนสังคม โดยหนึ่งในโชว์เคสที่เราขอหยิบยกมากล่าวถึง คือ โครงการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มควันไม้และถ่านด้วยเตาเผาถ่านน้ำส้มควันไม้มลพิษต่ำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครัวเรือนเกษตรกรปลูกลําไยในจังหวัดเชียงราย” โดย ผศ.ดร.จักรพันธ์ ชัยทัศน์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยเชียงราย



โดยโครงการวิจัยนี้เริ่มจากโจทย์ที่ ผศ.ดร.จักรพันธ์ ได้ไปค้นพบจริงกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลําไยจํานวน 100 ครัวเรือน ในเขตอําเภอแม่สรวย อําเภอเทิง และอําเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งประสบปัญหาลำไยราคาตกต่ำและยังพบว่าในการจัดการ “กิ่งลำไย” ก็ทำได้แค่การรวบรวมไปขายได้ราคาไม่กี่บาท ด้วยเหตุนี้ ผศ.ดร.จักรพันธ์ จึงได้คิดค้นและนำเสนอ เทคโนโลยีพร้อมใช้และนวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยและสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกรได้จริง ได้แก่ เตาเผาถ่านน้ำส้มควันไม้มลพิษต่ำ ชุดเผาไหม้ควบคุมอุณหภูมิ และเครื่องผลิตถ่านอัดแท่ง
ที่มาภาพ/ข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.salika.co/2025/11/27/3-appropriate-technology-model-in-northern-of-thailand/


