เจียง เหว่ย อัครราชทูตจีนฯ ประจำประเทศไทย พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนร่วมกัน สานต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย ครบรอบ 50 ปี

share to:

Facebook
Twitter

“การพัฒนาที่ยั่งยืนมิใช่เพียงภารกิจร่วมกันที่ยุคสมัยมอบหมายแก่เรา แต่ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมกันสร้างอนาคตด้วย” นี่เป็นใจความสำคัญหนึ่งจากปาฐกถาพิเศษใน Session ‘สู่อนาคตร่วมกันอย่างยั่งยืน: ความร่วมมือจีน-ไทยในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน ‘TCP Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด Sustainable Growth : The Future of Growth’ โดย เจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย โดยการปาฐกถามีความพิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะถือเป็นหมุดหมายสำคัญในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทยที่แน่นแฟ้นและยาวนานไม่เสื่อมคลาย

“ปีนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญ ครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย โดยตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จีนและไทยต่างยึดมั่นในหลักการเคารพซึ่งกันและกันและปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ขณะที่มิตรภาพก็แน่นแฟ้นและยืนยาวไม่เสื่อมคลายมองไปข้างหน้า โดย “การพัฒนาที่ยั่งยืน” จะเป็นทั้งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนใหม่และจุดเด่นสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ”

“การแลกเปลี่ยนของข้าพเจ้าในวันนี้ จะนำเสนอจากมุมมองส่วนตัว โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของจีน, ผลสำเร็จที่จีนบรรลุในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน, และข้อเสนอเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างจีน-ไทย” เจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เน้นย้ำ


เจียง เหว่ย

หนึ่ง แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของจีน

การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นโจทย์ร่วมของมนุษยชาติ และเป็นเส้นทางสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ภายใต้บริบทการพัฒนาใน ยุคสมัยใหม่ รัฐบาลจีนได้บูรณาการเข้ากับสภาพความเป็นจริงของประเทศ ยกระดับแนวคิดการพัฒนาใหม่ที่ครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ นวัตกรรม การบูรณาการความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้าง และการแบ่งปัน

โดยแนวคิดการพัฒนาใหม่นี้สอดคล้องกับ “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030” ของสหประชาชาติ และสะท้อนถึงความรับผิดชอบและบทบาทของจีนในฐานะประเทศขนาดใหญ่ และแนวคิดนี้มีลักษณะเด่น 3 ประการ คือ

  1. การบูรณาการ การพัฒนาเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคม และการสร้างอารยธรรมเชิงนิเวศ เพื่อบรรลุความก้าวหน้าของการผลิต ความมั่งคั่งของชีวิตและความสมดุลของระบบนิเวศ
  2. การวางแผนเชิงระบบ บนพื้นฐานยุทธศาสตร์ระดับชาติ เดินหน้าบูรณาการการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การปฏิรูประบบพลังงาน และการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมครบถ้วนตลอดทั้งห่วงโช่การพัฒนา
  3. ความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกลไกการจัดการสภาพภูมิอากาศโลก ผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติแบ่งปันโอกาสในการพัฒนากับทุกประเทศ และร่วมกันรับผิดชอบต่อภารกิจสำคัญของยุคสมัย

สอง เส้นทางมาตรการและผลสำเร็จเชิงปฏิบัติของจีนในการพัฒนาที่ยังยืน

เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์อันยิ่งใหญ่ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลจีนได้จัดตั้งระบบการทำงานแบบ “สี่ประสาน” ได้แก่ การออกแบบเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง การกำหนดนโยบายชี้นำ การขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาด และการมีส่วนร่วมของสังคม ในวันนี้ จะขอเน้นแนวทางและมาตรการตลอดจนผลสำเร็จเชิงปฏิบัติของจีนในการพัฒนาที่ยั่งยืน

  • กำหนดเป้าหมาย “คาร์บอนสองประการ” โดยมุ่งบรรลุการปล่อยคาร์บอนในระดับสูงสุดภายในปี 2030 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2060 ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นที่จีนได้ประกาศต่อประชาคมโลก
  • วางแนวทางการพัฒนาสีเขียว โดยยึดการปรับโครงสร้างและยกระดับอุตสาหกรรมเป็นแกนหลัก มุ่งเน้นการพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่างเข้มแข็ง อาทิ ยานยนต์พลังงานใหม่ และอาคารประหยัดพลังงาน
  • ปรับโครงสร้างด้านพลังงาน ลดสัดส่วนของอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงเร่งพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่เป็นหลัก ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และเพิ่มสัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอาทิ การรีโซเคิลวัสดุที่ใช้แล้ว และพัฒนาระบบอุตสาหกรรมด้านทรัพยากรหมุนเวียน
  • คุ้มครองด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ โดยปรับปรุง “กฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม” และ “กฎหมายพลังงานหมุนเวียน” ให้รอบด้านยิ่งขึ้น พร้อมทั้งบังคับใช้มาตรการสำคัญ เช่น ระบบอนุญาตการปล่อยมลพิษ และระบบซื้อขายคาร์บอน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาสีเขียวดำเนินไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
  • อนุรักษ์ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดการลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบควบคู่กับการขับเคลื่อบยุทธการ “พิทักษ์ท้องฟ้าสีคราม น้ำใส และผืนดินสะอาด” พร้อมทั้งริเริ่มโครงการสำคัญ อาทิ การอนุรักษ์ป่าธรรมชาติ การคืนพื้นที่เพาะปลูกสู่ป่าและทุ่งหญ้า และการจัดการแหล่งกำเนิดพายุทรายในเขตปักกิง-เทียนงิน เพื่อสร้างแนวป้องกันทางนิเวศ
  • ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นการบุกเบิกและ พัฒนาในสาขาหลัก อาทิ เชมิคอนดักเตอร์ AI และเทคโนโลยีสะอาดพร้อมทั้งสนับสนุนการบูรณาการความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย

ในวันนี้ จึงขอนำเสนอแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างจีน-ไทย ผ่านแนวคิดการพัฒนาแนวใหม่ของจีน ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับโมเดล BCG ของประเทศไทย (เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) โดยแนวคิดนี้จะเปิดโอกาสสำหรับการยกระดับและขยายความร่วมมือด้านการ พัฒนาที่ั่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ

  • การมีส่วนร่วมเชิงรุกและการแบ่งปั่นโอกาสจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน

ปัจจุบัน จีนมีขนาดเศรษฐกิจรวมเกือบ 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการนำเข้าต่อปีมากกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ครอบคลุมประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน มูลค่ารวมเกือบ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐตลาดผู้บริโภคของจีนมีทั้งความหลากหลายและความเฉพาะตัว

ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมของจีนกำลังมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเชิงอัจฉริยะ ซึ่งล้วนเป็นโอกาสอันกว้างขวางสำหรับผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่ตลาดจีน ควรศึกษาอย่างรอบด้านถึงศักยภาพการเติบโต แนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มต่าง ๆอย่างละเอียด พร้อมทั้งมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนให้เติบโตยิ่งขึ้น

  • เสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโช่อุตสาหกรรมพลังงานใหม่

โดยประเทศไทย มีพื้นฐานและศักยภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ขณะที่จีน มีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิต อุปกรณ์พลังงานใหม่ ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศจึงควรเร่งเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโช่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมยานยนต์พลังงานใหม่ และการวิจัยพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ ร่วมกันในระยะยาว

  • ส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรสีเขียวและการแปรรูปอาหาร

พร้อมผสานศักยภาพด้านทรัพยากรเกษตรของไทยเข้ากับเทคโนโลยีการเพาะปลูกสีเขียวของจีน ผลักดันการประยุกต์ใช้เกษตรอัจฉริยะ เครื่องจักรกลการเกษตรสมัยใหม่ ระบบชลประทานแบบแม่นยำ และการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร ตลอดจนยกระดับมาตรฐานการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารสีเขียวให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารสีเขียวและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของจีน ร่วมกันสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรสีเขียวระดับสากลของจีน-ไทย ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ในการพัฒนาเกษตรในจีน ถือเป็นตัวอย่างที่ควรค่าแก่การศึกษาและนำมาปรับใช้อย่างยิ่ง

  • เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและสร้างแบรนด์จีน-ไทยอย่างแข็งขัน

อาทิ งานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติประเทศจีน (China International Import Expo – CIE), งานแสดงสินค้านำเข้า-ส่งออกจีน (Canton Fair), และ งานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo) ถือเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดจีน

 

ที่มาภาพ/ข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.salika.co/2025/08/25/speech-of-china-ambassador-sustainable-growth-in-thailand/