Search
Close this search box.

มูลนิธิเสนาะฯห่วง “ปัญหาน้ำ-มลพิษ”แนะอีอีซี ลงทุนสีเขียว

share to:

Facebook
Twitter

มูลนิธิเสนาะ อูนากูล ร่วมกับ EEC และ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดรายงานการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนภาคตะวันออกปี 2565 ชี้สถานการณ์จัดการน้ำ และการจัดการมลพิษในพื้นที่น่าเป็นห่วง แนะสร้างความมั่นคงทรัพยากรน้ำ ผลักดันลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว สู่การพัฒนาพื้นที่ EEC และชุมชนอย่างยั่งยืน ขณะที่เลขาธิการ อีอีซี ยอมรับปัญหาต้นทุนน้ำที่สูงเกินไปอาจส่งผลต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมในพื้นที่ เตรียมเร่งศึกษาโครงสร้างการจัดการน้ำเพื่อลดต้นทุน

 

ปัญหาการบริการจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นประเด็นสำคัญในการบริหารจัดการอย่างสมดุลทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และ ประชาชนทั่วไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC ร่วมกับ มูลนิธิเสนาะ อูนากูล มหาวิทยาลัยบูรพา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) และศูนย์ศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจพอเพียง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี เรื่อง สถานการณ์ภาคตะวันออก พ.ศ. 2567 หัวข้อ “ระบบนิเวศของภาคตะวันออก และการบริหาร จัดการน้ำ เพื่อติดตามสถานการณ์การบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก เพื่อติดตามการบริหารจัดการและหาทางออกในการจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะ 3 จังหวัด ระยอง ชลบุรี  ฉะเชิงเทรา ใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

โดยมี ดร. ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานมูลนิธิเสนาะ อูนากูล  ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC ร่วมปาฐกถาพิเศษ และดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวให้การต้อนรับ พร้อมด้วยการนำเสนอกรณีศึกษาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา กรรมการมูลนิธิเสนาะ อูนากูล ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการ TDRI ดร.ดิชพงษ์ ภูมิเกียรติศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาระบบนวัตกรรม GISTDA นายสมชาย หวังวัฒนาพาณิช ประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ส.อ.ท. และมีดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI ดำเนินการเสวนา

อีอีซีห่วงต้นทุนน้ำแพงจนแข่งขันไม่ได้
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC กล่าวว่า โจทย์ที่ท้าทายในการพัฒนาพื้นที่อีอีซี หรือการพัฒนาเชิงพื้นที่ 3 จังหวัด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา คือ การพัฒนาเศรษฐกิจที่สามารถดึงนักลงทุนมาลงทุนได้ และสร้างความเติบโตที่สามารถกระจายไปสู่สังคมและสามารถดูแลสิ่งแวดล้อมได้

ที่ผ่านมา EEC ได้พัฒนาสิทธิประโยชน์และการแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมในการลงทุนออกมาเป็น 5 Cluster คือ 1. การแพทย์/สุขภาพ 2. ดิจิทัล 3. ยานยนต์ 4. อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และ 5. อุตสาหกรรมบริการ และแบ่งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษออกเป็น 3 ประเภท กลุ่มที่ 1 พื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมซึ่งขณะนี้มีจำนวน 27 นิคมอุตสาหกรรม กลุ่มที่ 2 นิคมอุตสาหกรรมที่รองรับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ กลุ่มที่ 3 บุคคลขอตั้งเขตส่งเสริมมีผู้ที่ศึกษาในการประกาศเขตเพื่อกิจการของตัวเองจำนวนมาก

นอกจากนี้ EEC ได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างท่าเรือ และสนามบินที่คาดว่าในปี 2570 จะสามารถดำเนินการได้ และการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการหากมีเริ่มก่อสร้างในวันนี้ก็คาดว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าจะสามารถใช้งานได้

ดร.จุฬากล่าวว่า แม้ EEC จะเตรียมความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและสิทธิประโยชน์เอาไว้จำนวนมาก แต่นักลงทุนที่สิ่งที่นักลงทุนถามมากที่สุด คือ สาธารณูปโภค โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำ และการจัดการพลังงานทดแทน หรือพลังงานสีเขียว โดยนักลงทุนจำนวนมากมักจะถามว่าในพื้นที่อีอีซี มี ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% หรือ มีพลังงานหมุนเวียน 100% (RE 100 )หรือไม่

“เรื่อง RE100 เป็นโจทย์ที่ท้าทายและน่าหนักใจสำหรับผม เพราะขณะนี้นักลงทุนถามมาจำนวนมาก แต่ RE100 ในพื้นที่ EEC ยังมีไม่มากนัก เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักใจพอสมควรในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เพราะว่ามีประเด็นในการจัดการโครงสร้างพลังงานค่อนข้างมาก โดยอยากเสนอให้พื้นทีอีอีซีเป็น Sandbox ในการนำพลังงาน RE 100 มาใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการผลักดัน” ดร.จุฬากล่าว

นอกจากนี้ ดร.จุฬา เห็นว่า ปัญหาในเรื่องของการจัดการน้ำถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่อาจจะกลายเป็นปัจจัยที่อาจจะทำให้ EEC แข่งขันไม่ได้ เนื่องจากพบว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมในพื้นที่ใช้น้ำในต้นทุนที่สูง โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากโครงสร้างการใช้น้ำและการจัดการระบบท่อส่งน้ำที่ทำให้ต้นน้ำค่าน้ำแพงขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสามารถบริหารจัดการให้ต้นทุนให้ลดลงมาได้อย่างไร

“เรื่องน้ำจำเป็นต้องทำคือ ปัญหาส่วนใหญ่มาจากโครงสร้างเพราะฉะนั้นต้องหาแนวทางบริหารจัดการน้ำที่ดีเพื่อจัดการน้ำตั้งแต่ต้นทางคือแหล่งน้ำ ไปจนถึงการกระจายน้ำเพราะเมื่อมาดูรายละเอียดตัวเลขคิดค่าน้ำแล้วพบว่าแพงเกินไป ทำให้ราคาน้ำแพงมากกลายเป็นปัญหาที่อาจจะทำให้แข่งขันไม่ได้ในอนาคต” ดร.จุฬากล่าว

สำหรับโครงสร้างต้นทุนค่าน้ำในพื้นที่ EEC แบ่งเป็น ราคาน้ำโรงงานนิคมอุตสาหกรรม ราคาน้ำดิบ อยู่ที่ราคา 14.00-17.15 บาทต่อ ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) น้ำประปา 18.00 -27.75 บาทต่อลบ.ม. ส่วนราคาน้ำในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม ราคาน้ำดิบ 12.50 บาทต่อลบ.ม. น้ำประปา 18.00-32.50 บาทต่อลบ.ม. สำหรับราคาน้ำครัวเรือน น้ำประปา 10.20-21.20 บาทต่อลบ.ม.

ดร.จุฬากล่าวด้วยว่า การประเมินสถานการณ์น้ำในปีนี้แม้จะมีปรากฎการณ์เอลนีโญ แต่คาดว่าไม่มีปัญหาในเรื่องการคาดแคลนน้ำ มีปริมาณน้ำเพียงพอในภาคอุตสาหกรรม แต่ในอนาคตอาจจะต้องพิจารณาหาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการพยากรณ์ของมูลนิธิเสนาะ อูนากูล ประเมินว่าความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นมากในปี 2580

ส่วนเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งเป้าเอาไว้ 4 ปีจะระดมทุนได้จริง 5 แสนล้านนั้น ปีนี้ 2567 ได้เจรจากับนักลงทุนจำนวนมาก และคาดว่าจะมีเงินลงทุนประมาณแสนล้านตามเป้าหมายแต่ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขการลงทุนได้ทั้งหมดเพราะจะสรุปตัวเลขการลงทุนก็ต่อเมื่อมีการนำเงินลงมาลงทุนแล้วเท่านั้น ไม่ใช้ตัวเลขคาดการณ์

 

ที่มาข้อมูล/อ่านทั้งหมดได้ที่ : https://thaipublica.org/2024/02/eec-recommended-to-invest-green/